อัตตาผิดชัดๆ อนัตตาก็ผิด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒
ณ วันสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นผู้ที่รู้จริง แล้วก็สอนปัญจวัคคีย์ สอนยสะ ยสะกับพวกอีก ๕๔ คน เป็นพระอรหันต์ ๖๑ องค์ ทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย พอพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ปัญจวัคคีย์ก็เป็นพระอรหันต์ ยสะกับพวกก็เป็นพระอรหันต์ ๖๑ องค์เป็นพระอรหันต์ รู้ตามความเป็นจริงทั้งหมด การรู้ตามความเป็นจริงมันก็เลยสอนมาไม่มีความคลาดเคลื่อนเลย ศาสนานี้ถึงถูกต้องมาตลอด
พอถูกต้องมาตลอด คนเห็นลาภสักการะมันบวชเข้ามาๆ เพื่อจะอาศัยศาสนาเป็นเพื่อลาภสักการะ ศาสนาต่างๆ ในพื้นเพเดิมของคน ในพื้นเพเดิมของพราหมณ์เขามีอยู่แล้วในเรื่องกสิณ เรื่องฌาน เรื่องสมาบัติ คนพื้นเพอยู่แล้วมันถึงคิดตามความพื้นเพเดิมของตัวไง ถึงว่าเป็นอัตตาๆ เพราะอัตตานี่มันเป็นสมมุติ พอสมมุตินี่มันจินตนาการได้เห็นไหม
การจินตนาการได้ การอาบน้ำนั้นไม่ใช่ว่าน้ำนั้นมีอยู่นะ เขาว่าคนที่อาบน้ำแล้วมีอยู่ อัตตาคือคนไม่ใช่น้ำ อัตตานี้คือคนนะ ...นั้นไม่เหมือนธรรมไง เหมือนกับน้ำเข้าไปชำระ น้ำอมตธรรมเห็นไหม เข้าไปชำระล้างร่างกายให้สะอาด พอกายนั้นสะอาดแล้วกายนั้นถึงเป็นผู้รับผล คือกายนั้นสกปรกแล้วสะอาดขึ้น เหมือนดวงจิตไง กายนี้สะอาดขึ้น กายนั้นสะอาดขึ้นก็มาสกปรกอีก กายภายในสะอาด แต่นี้สกปรก มันเป็นไปไม่ได้ที่มันอาบน้ำแล้วมันจะสะอาดเพราะมันมีอัตตา มันต้องสกปรกอีก เห็นไหม การสกปรกอีกมันจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้
เพราะว่าสิ่งที่ถือว่าเป็นอัตตาไง เราถึงว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เห็นไหม มันอันเดียวกันกับที่เจ้าแม่กวนอิมมาสอนไงว่า คนเรานี่เป็นพระอรหันต์มาก่อน แล้วหลงไปเห็นไหม พอหลงไป เพราะหลงอยู่ในโลกนี้ ต้องกลับไปหาศาสดาเพื่อให้เปิดประตูกลับไปหานิพพาน เห็นไหม นิพพานมีอยู่แล้ว คนเรานี่เป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว แล้วเพียงแต่หลงออกมา นี่มันจินตนาการได้ไง การจินตนาการว่าสิ่งนี้มีอยู่ สิ่งนี้มีอยู่คือใจไง สิ่งนี้มีอยู่เป็นอัตตา คือว่าทำเสร็จแล้วจะไม่มีตัวที่รับผลไง มันเหมือนกับเราไปซื้อใบปริญญานี่ ทุกคนไปซื้อใบปริญญาเพราะอะไร เพราะว่าปริญญานี่ไปซื้อมาแล้วดูเป็นวัตถุที่เขายอมรับกันว่าฉันได้ปริญญาไง
นี่ก็เหมือนกัน จะปฏิบัติธรรมก็หลอกตัวเองไง ว่าจินตนาการเป็นจินตปัญญา จินตนาการว่าไง ว่าสิ่งนั้นมีอยู่ สิ่งนี้มีอยู่ แล้วก็จินตนาการให้คนเห็นไง สร้างให้คนเห็นว่าสิ่งนี้เป็นอัตตาเห็นไหม จิตเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น แล้วก็ให้คนนี่คิดตามได้หมดเลย พอคิดตามได้หมดนี่มันเป็นอะไร มันเป็นสมมุติทั้งหมดเลย มันเป็นจินตนาการ มันเป็นจินตปัญญาทั้งหมดเลย มันไม่ใช่ศาสนาเลย มันเป็นศาสนาอ่อนๆ นะ จะว่าไม่ใช่ศาสนาก็มีทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม
แต่มันไม่ใช่ภาวนามยปัญญา เขาไม่เคยเห็นปัญญาตามความเป็นจริงเลย เขาเพียงแต่จินตนาการกันมา เขาศึกษาทางโลกกันมา เขาศึกษาการบริหารการจัดการมา แล้วเขามาจินตนาการทำไง จินตนาการให้มันเห็นรูป มันสื่อได้ การสื่อได้นี่เป็นสมมุติทั้งหมด เขาเลยบอกว่า อัตตานี่ นิพพานเป็นอัตตานี่ เป็นสมมุติหรือไม่เป็นสมมุติ
อยู่ในสมมุติไง เพราะมันอยู่ต่ำกว่าขันธ์ ๕ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมเป็นอนัตตาๆๆ ขันธ์ ๕ นี่เป็นอนัตตา แต่ถ้าเป็นอัตตานี่มันเป็นไปไม่ได้เพราะมันคงที่ เราก็เคยใช้อยู่เห็นไหมว่า เราเคยใช้คำว่า จิตนี้เป็นอัตตา เห็นไหม ทุกข์นี้เป็นอัตตา นิพพานถึงเข้ากับนิพพานได้ไง คือว่านิพพานมันคงที่ใช่ไหม คงที่แบบนิพพาน แต่จิตของคนมันอยู่ในวัฏฏะ มันวนไปๆ จิตของคนนี่มันวนไป มันตายเกิด-ตายเกิด คือว่ามันมีอยู่ไง เห็นไหม มันก็เท่ากับอัตตาของที่ว่านี่มันมีอยู่ คือว่าทำอย่างไรมันก็มีอยู่ มันมีอยู่ๆ แล้วในอัตตา ถ้ามันสะอาดแล้วมันก็จบ นี่ถึงว่าการอาบน้ำแล้วมันสะอาดไง
มันไปเปรียบเอาวัตถุนะ ถ้าเป็นวัตถุมันมีอยู่ สิ่งใดมีอยู่สิ่งนั้นต้องมีการแปรสภาพ เป็นไปไม่ได้เลยสิ่งใดมีอยู่แล้วสิ่งนั้นคงที่ ไม่มี ไม่มี เพียงแต่เอามาอ้างอิงไง สมมุติให้เห็นไง ว่าจิตของคนที่เราเป็นมนุษย์นี่ เราปฏิบัติกันนี่ ถึงบอกว่าเวลาเราทำบุญกุศลกัน เป้าหมายของเราคือให้ถึงนิพพานเห็นไหม เพราะจิตเรามีอยู่ต้องเกิดตาย-เกิดตาย เกิดเป็นชาติอื่นก็เป็นจิตดวงนี้ๆๆ จะชาติไหน จะภพไหน แต่ก็มีอยู่ นิพพานคือสิ่งที่เข้าไปถึงนิพพาน นิพพานมันรับกันได้ไง มันถึงรับกับนิพพานได้ว่า สิ่งนี้มันจะไปเสวยสุขว่าอย่างนั้นเลยว่า นิพพานํ ปรมํ สุขํ เพราะจิตตัวนี้จะไปเสวยสุข แต่ถ้ายังไม่ถึงมันก็วนเวียนอยู่ มันอยู่ในวัฏฏะ อยู่ในวัฏวนไง
เห็นไหม อันนี้ถึงว่าเป็นอัตตา อัตตามันต่ำมาก ต่ำมาก เพราะมันเป็นศาสนา หรือมันเป็นจินตนาการของมนุษย์ เป็นลัทธิต่างๆ ที่เขาฝึกกันมา เขาสอนกันมานี่เป็นอัตตา แล้วมันก็ฝังอยู่กับดวงใจของคน เพราะมันเข้ากับกิเลสไง เข้ากับความจินตนาการไง พระพุทธเจ้าถึงได้ปฏิเสธทั้งหมด พระพุทธเจ้าปฏิเสธนะ ปฏิเสธเลย ไม่ให้อยู่ในอัตตาอย่างที่เขาว่านี่ ทำให้ศาสนาเสีย ถูกต้องเลย พระพุทธเจ้าสอนอนัตตาทั้งหมด ไม่สอนอัตตา
นี่ผลออกมานี่ ผลที่ว่าปฏิบัติไปนี่เขาไม่รู้นี่ เขาไม่ว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา เห็นไหม ว่าธรรมทั้งหลายนั้นเป็นอนัตตา สัพเพ ธัมมา อนัตตา นี่ถูกต้อง สัพเพ ธัมมา เป็นอนัตตา แต่นี้อยู่ในพระไตรปิฎกนี่ อันนี้ว่าเป็นอนัตตา การอ้างว่าเป็นอนัตตานะ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถ นิพฺพินฺทติ ทุกเข เอส มคฺโค วิสุทธิยา อยู่ในพระไตรปิฎกเขาอ้าง อนัตตาอ้าง
แต่ว่าเมื่อบุคคลมองเห็นด้วยปัญญาว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมหน่ายในทุกข์นี้เป็นทางแห่งวิสุทธิ นี้เป็นทางแห่งวิสุทธิ เห็นไหม อนัตตานี้เป็นทางแห่งวิสุทธิ เป็นทางไม่ใช่ผล เป็นทาง นี่อยู่ในพระไตรปิฎกเลย
ในกรณีของอรรถกถา อธิบายให้สมบูรณ์ว่า สพฺเพ ธัมฺมา อนตฺตาติ สพฺเพปิ จตุภูมิกา ธัมฺมา อนตฺตา อิธ ปน เตภูมิกธมฺมา ว คเหตพฺพา แปลพุทธพจน์ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ความหมายหมายความว่าธรรมทั้งหลายเป็นในภูมิ ๔ ทั้งหมดคือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตตรภูมิ คือมรรค ผล นิพพาน นั้นเป็นอนัตตา
ในที่นี้จึงถือเอาเฉพาะธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ สังขาร ๕ เท่านั้น ถึงว่าเป็นอิธะไง เขาว่าเป็นอิธะ เป็นเฉพาะส่วน ว่าความเป็นเฉพาะส่วนเห็นไหม เฉพาะส่วนนี่เฉพาะส่วนในภูมิ ๓ โว้ย กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ กับโลกุตตรภูมิ คนละส่วนเห็นไหม วัฏฏะไง วัฏฏะกับวิวัฏฏะ
อนัตตานี่ ในหลักการของศาสนาสอนอนัตตาแน่นอน อนัตตานี่ถูกต้อง อนัตตาถูกต้องนะ แต่ถูกต้องในแง่ของสมมุติอีกล่ะ ในเมื่อว่าอัตตาเป็นสมมุติอยู่ในสมมุติ ในปรมัตถ์ไม่มีวิมุติ ไม่มีอัตตา ในวิมุติก็ไม่มีอนัตตา ในวิมุตินั้นเป็นวิมุติ เพราะอัตตานี้มันอยู่ในวัฏวนไง วัฏฏะในการแปรสภาพไง ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่ในวัฏวน
ในวิวัฏฏะคือโลกุตตรภูมิ เห็นไหม เป็นวิมุติ วิมุตินี้หลุดพ้นออกไปจากอัตตา คือพ้นออกไปจากอัตตาและจากอนัตตา มันเป็นวิมุติ ไม่ใช่สมมุติ แต่ถ้ายังเป็นอัตตายังเป็นสมมุติทั้งหมด เป็นสมมุติทั้งนั้น เพราะมันแยกกันตรงนั้นไง เขาเรียกว่าอัตตานี้พระพุทธเจ้าสอน ในหลักของศาสนาพุทธนี่สอนอัตตาทั้งหมด
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นกฎของไตรลักษณ์ การวิปัสสนาเพื่อเห็นไตรลักษณ์ ให้รู้จริงตามไตรลักษณ์เห็นไหม เพราะว่าให้รู้จริงตามไตรลักษณ์ถึงจะหน่ายจริงไง แต่ไม่ถึงกับหน่ายปลอม หน่อยปลอมหมายถึงว่านึกเอา ตรึกเอา ว่าเป็นความหน่าย เป็นอนัตตา จิตเป็นผู้เสวยอารมณ์ไง ว่าอนัตตานี้เป็นอนัตตาเพื่อปฏิเสธความเป็นอัตตา
มันไม่ต้องไปปฏิเสธความเป็นอัตตา ในเมื่อมันเป็นความจริง เป็นวิปัสสนาญาณ มันปล่อยเองโดยธรรมชาติ มันปล่อยเอง มันไม่เสวยเห็นไหม
คำว่าเสวย เกิดและดับ เกิดเห็นไหม การอุบัติ แล้ววิบัติเขาบอกไง อันนี้เขาว่าเกิดวิบัตินั่นคืออนัตตา แต่อันนี้ว่าเป็นอนัตตาที่ไปทับไง ไปทับว่ามันปฏิเสธอัตตาไง คือว่าเป็นอนัตตาอีกตัวหนึ่งไง ไม่ใช่อัตตาตัวนี้ไง อนัตตานี้มันเป็นศัพท์ที่ตายตัว มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป นั้นคืออนัตตา
อนัตตานี่มันปฏิเสธอัตตาด้วยกิริยาไง อัตตานี้เป็นความจริงใช่ไหม แต่อนัตตานี้มันเป็นความไม่มีใครเคยรู้ ไม่มีใครเคยเห็น แต่พระพุทธเจ้าเห็นเป็นอนัตตา การเห็นเป็นอนัตตาถึงบอกว่าพวกที่แบบว่าซื้อปริญญานั่นน่ะ เขาศึกษาแล้วเขาไปซื้อปริญญา พอเขาได้ปริญญามาแล้ว เขาได้มาด้วยการซื้อไง การซื้อมาด้วยการจินตนาการออกมาว่าอันนี้เป็นมรรคเป็นผลไง
แต่ถ้าปฏิบัติขึ้นไปนะ มรรค ๔ ผล ๔ ทำไมเป็นนิพพาน ๑ อรหัตตมรรค อรหัตตผล ทำไมไม่ใช่นิพพาน ๑ อรหัตตมรรค แล้วแปรสภาพเป็นอรหัตตผลนี่ถึงไปนิพพาน
๑ นิพพานคือนิพพาน นิพพานไม่ใช่อัตตาและไม่ใช่อนัตตา เพราะว่ามันพ้นไปวิมุติ วิมุติไม่ใช่สมมุติ อนัตตาหรือคำพูดใดๆ ที่ยังพูดได้ ยังอธิบายได้เป็นสมมุติทั้งหมด อัตตานี้เป็นสมมุติโลกๆ เลย อนัตตานี้เป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้า บัญญัตินี้มาลดสมมุติ บัญญัติขึ้นมา พระพุทธเจ้ารู้แล้วบัญญัติขึ้นมาตามความเป็นจริง แล้วลดละอัตตาทั้งหมด แต่มันก็ยังเป็นสมมุติอยู่ เพราะมันเป็นอรหัตตมรรค อรหัตตผล ยังไม่ใช่นิพพาน ๑ นิพพาน ๑ เป็นที่หลุดพ้นออกไปจากสมมุติทั้งหมด ออกไปจากสมมุติและบัญญัติจนเป็นวิมุติ วิมุติถึงพูดไม่ได้เลย
ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าไม่เคยบอกว่านิพพานเป็นแบบใด เพียงแต่เป็นการสื่อเพื่อให้รู้ไงว่าเหมือนอย่างนั้น เช่น พระพุทธเจ้าพูดในพระไตรปิฎกเหมือนเราจุดเทียนขึ้นมา แล้วดับเทียนไป ไม่มีไง ไม่เห็นไฟ จุดไฟขึ้นมาแล้วดับไฟไป นั่นคือความเห็น ความเห็นว่ามันมีแล้วก็ดับไป
เห็นไหม ในหัวใจก็เหมือนกัน กิเลสมันมีไง แล้วทำเชื้อให้ดับ ที่ว่าอาบน้ำๆ นี่มันเป็นวัตถุทั้งหมด ไอ้อย่างนี้เพราะเราจินตนาการ เราสื่อกันเพื่อแบบว่าน้ำมันชำระล้างร่างกายแล้วสะอาด ชำระล้างร่างกายใช่ไหม แล้วเวลาเราโกรธ เราเกลียด หรือว่าเวลาพ่อแม่เอ็ดลูกสอนลูกนี่ เราก็รู้ว่าทุกข์ทำไมเราเอาออกไม่ได้ล่ะ เพราะว่าความสกปรกมันอยู่ที่ผิวหนัง ล้างก็ออกใช่ไหม แต่กิเลสมันเป็นอนุสัยนอนเนื่องอยู่ในจิต มันอยู่ในสันดาน มันอยู่ในกมลสันดาน มันเป็นเจ้าวัฏฏะ เจ้าวัฏฏะนี้เป็นกษัตริย์ เป็นอวิชชา
แล้วเวลาหลงตัวเองเห็นไหม ความหลงตัวเองนั้นถึงออกมาเป็นขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นี้เป็นแม่ทัพนะ แม่ทัพในขันธ์ ๕ นี่ก็เป็นรูป เป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลง เป็นกามราคะ เป็นปฏิฆะ เป็นความผูกโกรธ เป็นความชั่วร้ายทั้งหมด มันอยู่ตรงที่ขันธ์ ๕ นั้น เพราะขันธ์ ๕ นั้นมันอยู่ที่จินตนาการเห็นไหม การทำลายขันธ์ ๕ เป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา ทั้งหมด แต่ผู้ที่รู้คือตอของจิตไง คือตัวอวิชชานั้นน่ะ อวิชชาเห็นไหม มันพ้นจากขันธ์ทั้งหมดขึ้นไป มันเหนือขันธ์อยู่แล้ว
พอมันเหนือขันธ์ มันไม่ใช่ขันธ์ ๕ ถึงว่ามันพ้นจากสมมุติ มันก็ไปบัญญัติเห็นไหม ถึงมันจะเป็นบัญญัติ แต่ถ้าเป็นการชำระล้างนี่มันชำระล้างได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นเหมือนผลไม้ มันดองในสันดาน ดองในสันดานจะเอาอะไรเข้าไปชำระมันได้ จะเอาอะไรไปกำจัดมัน เอาอะไรไปล้างมัน ยางเหนียวมันซึมเข้าไปในเนื้อ อาบน้ำน่ะอาบน้ำได้ แต่เราดูเนื้อไม้ที่น้ำมันมันซึมเข้าไปในไม้ เราล้างออกได้เหมือนกัน เพราะมันซึมอยู่ในเนื้อไม้นั้น มันซึมเป็นเนื้อเดียวกันอะไรก็ล้างออก
จิตก็เป็นแบบนั้น ชำระล้างแบบว่า มันเป็นการเปรียบเทียบเป็นบุคลาธิษฐานเพื่อจะให้เห็นภาพชัดไง เป็นการสื่อของครูบาอาจารย์เพื่อจะสื่อให้ลูกศิษย์โง่ๆ ให้พวกปุถุชนนี่มันนึกภาพออก
อันนี้ถึงถามว่าใครเป็นพูดเรื่องสมมุติกับวิมุติ ในเมื่อปุถุชนยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลแม้แต่ขี้หมา แล้วมันจะเอาอะไรมาสื่อ ยิ่งสื่อยิ่งไกล ยิ่งสื่อยิ่งหลงทาง แต่สื่อเพื่อให้หลงทางนี่ แต่ถ้าครูบาอาจารย์สื่อเพื่อจะให้เข้าถึงหลักของธรรม พอมาสื่อปึ๊บเดินเข้าหาธรรม ไม่ได้สื่อมาเพื่อจะวิเคราะห์วิจารณ์ เพื่อจะโต้เถียงกัน ถึงบอกว่าใครเป็นคนสื่อว่าร่างกายอาบน้ำแล้วสะอาด แต่ครูบาอาจารย์ก็สื่อแบบนี้ แต่สื่อขณะที่ ฟังนะ สื่อขณะที่ว่า
ในสมัยพุทธกาล พระจะไปถามพระพุทธเจ้าเรื่องวิปัสสนา ไปถึงชายคาไปเห็นน้ำตกมาจากชายคาเห็นไหม เป็นจุดเป็นต่อมขึ้นมา นี่เป็นน้ำตกลงมาก็เป็นฟองอากาศ เป็นต่อมแล้วก็แตกไปๆ นี่มันเป็นอะไร นี่เพราะว่าท่านติดอยู่ในขั้นอรหัตตมรรคกำลังจะเป็นอรหัตตผล ถึงไปถามระหว่างเกิดดับ-เกิดดับ ไอ้ตัวอวิชชานี่มันเกิดดับ-เกิดดับโดยที่ไม่มีขันธ์ ๕ ไปขยายที่ว่าโลภ โกรธ หลงนี่ มันเกิดดับในตัวมันเองนี่ เห็นไหม การกระทบเห็นอย่างนั้นปั๊บนี่ วิปัสสนาญาณมันเกิดทันที มรรคญาณเข้าไปชำระล้างกิเลสแล้วก็พ้นออกไป คนอย่างนั้นถึงจะสื่อและจะรับรู้กันได้
พระพุทธเจ้ากับพระองค์นั้นถ้าได้คุยก็ทีเดียว แต่ขณะว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตอบปัญหาเลย เพียงแต่ตานี้ไปเห็นภาพแล้วกระทบเข้าไปถึงใจ ปล่อยกิเลส วางกิเลสตามความเป็นจริงเลย นั่นผู้อย่างนั้นถึงจะคุยกันรู้เรื่อง ถึงจะสื่อกันรู้เรื่องไง สื่อเพื่อเป็นความหมาย สื่อเพื่อการวิปัสสนา สื่อเพื่อเป็นการครูบาอาจารย์สอนลูกศิษย์ ไม่ใช่สื่อเพื่อจะกว้านทั้งหมด วัตถุนิยมมันเป็นของตัวไง เป็นการสื่อแบบแอบอ้างไง เป็นการสื่อแบบกิเลส สื่อแบบดึงเข้ามาๆ ทุกอย่างต้องมารวมกันที่ตนเอง ทุกอย่างต้องมารวมเป็นจุดศูนย์กลางของการจะหลอกลวงโลก สื่อแบบหลอกลวง สื่อแบบหมาเคาะกะละ หมามันเคยกินข้าว พอเจ้าของมันเคาะกะลามันนึกว่าจะได้กินข้าวมันก็วิ่งเข้าไปหา
จิตของทุกๆ ดวงมันเคยรับรู้การเกิดการตายมา มันเสียวยอกอยู่ในหัวใจ ใครมาเคาะกะลาไง ว่านิพพานเป็นอัตตาๆ อยู่ที่นี่แล้วจะทำให้ สื่อแบบหมาเคาะกะลา หมามันได้ยินเสียงเคาะกะลามันก็วิ่งเข้าไปหาทันทีเลย กับสื่อแบบครูบาอาจารย์ สื่อแบบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์นะ ว่าไม่มีกำมือในเรา คือไม่มีการซ้อนเร้นในมือของเรา เราบอกทุกอย่าง แต่ต้องสงเคราะห์หรือว่าเหมาะสมกับบุคคลนั้น บุคคลนั้นปฏิบัติถึงขึ้นตอนไหน ถ้าสื่อไปก่อนมันก็จะไม่เป็นประโยชน์เห็นไหม มันสื่อเพื่อประโยชน์ล้วนๆ สื่อเพื่อหัวใจดวงนั้นให้ถึงธรรมดวงนั้น ไม่ใช่สื่อเพื่อหมาเคาะกะลา มันอยากได้ของๆ เขา มันสื่อเพราะอยากได้ของๆ เขา มันสื่อดึงเข้ามาให้อยู่ในอำนาจของตัว
แต่ในการพูดว่านิพพานเป็นอนัตตานี่ เราเห็นด้วยมากเลย เพราะอย่างไรมันก็ไม่เสีย เพียงแต่ที่พูดว่า ถ้าบอกว่านิพพานเป็นอนัตตาจริงมันก็ต้องนึกว่านิพพานนี้เป็นอนัตตา แต่ความจริงมันไม่ใช่ ความจริงมันไม่ใช่ อนัตตานั้นเป็นอรหัตตมรรค อรหัตตผล ระหว่างการเสริมเข้าไป เพราะในพระไตรปิฎกบอกไว้ชัดเจนว่า เมื่อบุคคลมองเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมทั้งปวงนั้นเป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมหน่ายในทุกข์ นี้เป็นทางแห่งที่สุด นี้เป็นทางแห่งที่สุด นี้เป็นทางแห่งที่สุดการข้ามพ้นไป นี้เป็นทางไง
คำว่าทางกับผล เห็นไหม ระหว่างอรหัตตมรรค อรหัตตผล กับนิพพาน ๑ อยู่ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบัญญัตินี่ในพระไตรปิฎก แล้วอรรถกถาถึงมาบอกว่า อิธะคือเป็นเฉพาะส่วน เฉพาะส่วนว่าอรหัตตมรรค เพราะว่ามันมีกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ โลกุตตรภูมิ เห็นไหม ถึงบอกว่านี่ไง อิธะคือเฉพาะส่วน แล้วให้ถือเอาเป็นเฉพาะส่วน
เฉพาะส่วนสิ ให้ถือเอาเฉพาะส่วนเพราะอะไร เพราะว่านิโรธ เห็นไหม เขาบอกว่า อริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นิโรธนั้นคือนิพพาน อันนี้ก็ไม่ใช่ นิโรธก็ไม่ใช่นิพพาน แล้วนิโรธสมาบัตินั้นอะไร นิโรธก็นี่แหละ นิโรธคือการศึกษาเล่าเรียน นิโรธนี่เวลาเราจบปริญญาตรีเห็นไหม เราจบดอกเตอร์อะไรก็แล้วแต่ นิโรธเห็นไหม เราจบ เราเลิกเรียนแล้ว นี่นิโรธ แล้วเลิกเรียนแล้วเราได้อะไรขึ้นมา ถ้าเราไม่มีใบรับรอง ใบรับรองตรงนั้นล่ะ เราก็ต้องไปรับปริญญากับผู้ประสาทปริญญากับในหลวงนี่ วันนั้นเราต้องไปสอบหรือเปล่า วันนั้นเราไม่ต้องสอบ วันนั้นไปแบมือรับเราก็ได้ไปเลย
อริยสัจ ๔ ก็อยู่ในการสอบ การศึกษาเล่าเรียน นี่อริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณทีเดียวทะลุออกจากอริยสัจ ๔ ออกไป นิโรธคือการจบสิ้น จบสิ้นตรงนั้น มันเป็นกิริยาอันหนึ่งในอริยสัจ แต่พ้นจากนิโรธออกไป พ้นจากอริยสัจ ๔ ออกไปไง มรรคญาณนี่พุ่งออกไปแล้ว ไปออกเป็นผลไง เหมือนกับเราไปรับปริญญาจากผู้ประสาทปริญญานั้นล่ะ มันออกไปไง คือว่ามันกลั่นออกมาจากศีล มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ
นี่ถึงว่านิพพานเป็นนิพพาน อนัตตาเป็นอนัตตา อัตตาเป็นอัตตา
อนัตตานี่ผิด ผิดมากๆ อัตตาก็ผิด! นิพพานเป็นนิพพานไม่ผิด เป็นวิมุติไม่มีการพูดถึง แต่อนัตตายังดีกว่า ดีกว่าเพราะว่าการจะเข้าถึงวิมุติต้องมีมัคคะอริยสัจจัง ต้องมีอริยสัจ ต้องมีทางเดินไง ถึงถูกต้องไง อนัตตาถูกต้อง อนัตตาถูกต้อง แต่ถูกต้องในการก้าวเดิน วิมุติเป็นวิมุติอีกอันหนึ่งต่างหาก วิมุติคือนิพพานอันนั้น ไม่ใช่อนัตตา
การก้าวเดินกับการนั่งอยู่นี่ต่างกัน การก้าวเดินมา การกระเสือกกระสนมา อันนั้นนั่นอนัตตาทั้งหมด แต่ไปถึงที่จุดหมายปลายทางแล้วนั่งเสวยสุขอยู่ อันนั้นมันเป็นการก้าวเดินกับการนั่งต่างกัน ต่างกันโดยสิ้นเชิง ถึงอนัตตาก็ไม่ใช่ นิพพานเป็นนิพพาน นิพพานไม่ใช่เป็นอนัตตาเด็ดขาด นิพพานไม่ใช่อัตตาเด็ดขาด นิพพานเป็นนิพพาน อัตตาเป็นอัตตา อนัตตาเป็นอนัตตา คนละส่วนกันโดยความเป็นจริงแน่นอน แน่นอน เอวัง